พาไปรู้จัก บริษัท Y&R
วันนี้ Jobnisit มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกับ คุณโอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ ประธานบริหารฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัท ยังก์ แอนด์ รูบิแคม (ไทยแลนด์) จำกัด หรือที่คุ้นหูกันดีในชื่อ Y&R Thailand บริษัทโฆษณาและสื่อสารการตลาดยักษ์ใหญ่ในเครือ WPP ที่โด่งดังทั่วโลก
Y&R ประกอบไปด้วยฝ่ายหลักๆ ที่รับผิดชอบด้าน Creative, Account Executive และ Strategic Planning ซึ่งคุณโอลิเวอร์เป็นผู้ดูแลอยู่ ดังนั้น เราจึงได้พูดคุยเกี่ยวกับทำงานของฝ่ายนี้คร่าวๆว่า เวลาที่บริษัททำ brand consulting ลูกค้าก็จะต้องการแผนกลยุทธ์ดีๆ ก่อนที่จะนำไปพัฒนาเป็นแคมเปญสักแคมเปญหนึ่ง เพราะแค่ความสนุกสนานแปลกใหม่อย่างเดียวคงไม่พอ ลูกค้าต้องการ “ผู้ชี้นำ” ว่าธุรกิจของตนควรจะดำเนินไปในทิศทางไหน จะสร้าง awareness ที่ดีให้ผู้บริโภคได้อย่างไรบ้าง เป็นต้น
เราจะเห็นได้ว่า Y&R แตกต่างจากเอเจนซี่โฆษณาอื่นๆ ก็ตรงที่ไม่ได้ขายแค่ไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์เพียงอย่างเดียว และพวกเขาไม่ได้มองว่า ไอเดียต้องเป็นอะไรที่สุดโต่ง หรือแปลกแหวกแนวที่สุด เหมือนอย่างที่บริษัทอื่นๆ กำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในตลาดโฆษณาขณะนี้ Y&R มองว่า กลยุทธ์ก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน กล่าวคือ ทั้ง 2 อย่างนี้ต้องสมดุลกัน
“ไอเดียของเราต้องช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ ต้องขายของได้ จุดแข็งของเรา คือ เราเข้าใจลูกค้า เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของ marketing trend ทั่วโลก”
นอกจากนี้ Y&R ยังให้ความสำคัญกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารในยุคดิจิตอล ยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และสร้างความหนักใจให้กับวงการโฆษณาไม่น้อย เพราะปัจจุบันนี้ผู้บริโภคไม่ได้เป็น “ฝ่ายรับสาร” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป พวกเขามีทางเลือกและมีสิทธิ์มีเสียงมากมาย ดังนั้น เทคนิคอย่างหนึ่งที่ Y&R เลือกใช้คือ การเป็นผู้ฟังที่ดี
“ไม่ใช่แค่เราต้องรู้ว่า จะพูดอะไรตอนไหน แต่เราต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย อันนี้คือจุดสำคัญที่จะทำให้เราก้าวไปได้ไกล “
หากให้เปรียบ Y&R กับสัตว์สักหนึ่งชนิด ก็คงจะเป็น “โลมา” ที่มีความยืดหยุ่น คล่องตัวสูง ปรับตัวได้ง่าย ต่างจากเอเจนซี่ใหญ่อื่นๆ ที่มีกฎระเบียบตายตัวมากมาย Y&R ยังมีทั้งความจริงใจและความเป็นมิตรให้กับลูกค้า เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดที่พร้อมจะช่วยเหลือ และมีคำแนะนำดีๆให้เสมอ
“ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกค้า ก็เหมือนโลมากับมนุษย์ มันเหมือนมี connection อะไรบางอย่างที่ทำให้สื่อถึงกันได้…น่าจะเป็นเพราะเรามี Human Touch ลูกค้าจึงไว้วางใจเรา เราแสดงออกว่าเราจริงใจ เราเข้าใจพวกเขา ง และสิ่งเหล่านี้สัมผัสได้ด้วยใจเท่านั้น”
ถ้าจะให้พูดถึงวงการสื่อสารการตลาดในแบบที่เข้าใจง่ายที่สุด โดยยกตัวอย่างภาพยนตร์สักเรื่อง คุณโอลิเวอร์บอกว่า ก็คงจะเป็น เรื่อง “Inside Out” เพราะเป็นเรื่องที่พูดถึงธรรมชาติของมนุษย์ และสะท้อนสังคมได้ดีที่สุด “ทำงานในวงการนี้ เราต้องเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนแตกต่างกัน ทุกอย่างมันออกมาจากข้างใน เราก็ต้องสื่อสารออกมาจากข้างใน จะได้เข้าถึงอีกฝ่ายหนึ่งได้”
สำหรับบรรยากาศการทำงานที่ Y&R นั้น บอกได้คำเดียวว่าเก๋ไก๋มาก ด้วยการตกแต่งออฟฟิศอย่างทันสมัยและโลเคชันที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพ บนตึก Siam Tower ที่พอขึ้นไปปุ๊บก็จะมองเห็นวิวสวยๆของตึกระฟ้า ให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก นอกจากนั้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นแต่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรง ที่มีพลังความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยม กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างแข็งขัน แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความอบอุ่น เป็นกันเอง เห็นแล้วอยากมาทำงานที่นี่ด้วยเลยค่ะ
ใครที่อยากร่วมงานกับ Y&R ต้องตั้งใจอ่านพาร์ทนี้เลยค่ะ คุณโอลิเวอร์บอกว่า เวลาที่ Y&R จะเลือกใครสักคนเข้ามาทำงาน แน่นอนว่าไม่ได้ดูแค่ผลการเรียนเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่จะพิจารณาที่ตัวบุคคลด้วย ว่ามีลักษณะตามที่บริษัทต้องการหรือไม่ และหนึ่งในคุณสมบัตินั้นๆ คือ “ความสามารถในการสื่อสารและการแสดงความเป็นตัวเองออกมา”
คนที่จะได้รับเลือก ต้องเป็นคนที่มีความมั่นใจ กล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น ต้องเป็นคนมีแนวคิด มีมุมมองใหม่ๆ และรู้ว่าจะแสดงมันออกมายังไงให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด “ข้อนี้ล่ะ ที่เป็นปัญหาของเด็กจบใหม่หลายๆคน เวลาพาไปพบลูกค้าช่วงแรกๆ ก็จะไม่กล้าพูดอะไร เพราะกลัวผิด แต่ในวงการนี้มันไม่มีถูกผิดอยู่แล้ว คนที่มัวแต่กล้าๆกลัวๆ อยู่ในวงการนี้ไม่ได้หรอก เพราะมันจะมีคนที่กล้ากว่าเราเสมอ”
แม้ว่าเราจะเป็นเด็กจบใหม่ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราต้องเป็นคนที่รอรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว หรือรอให้คนอื่นมาคอยบอกคอยสอนเราทุกอย่างนะคะ ชีวิตการทำงานนั้นแตกต่างจากชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างสิ้นเชิง จริงอยู่ ที่บริษัทจะต้องสอนงานให้เราอยู่แล้ว แต่เราเองก็ต้องใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาให้เป็นประโยชน์ เราเองก็ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยนะคะ ในฐานะที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย คุณโอลิเวอร์แสดงความคิดเห็นไว้อย่างน่าสนใจ เกี่ยวกับปัญหาในระบบการศึกษาไทยว่า เด็กหลายคนอยากได้ใบปริญญา แต่กลับไม่ค่อยตั้งใจเรียน ไม่สนใจว่าความรู้ที่เรียนมานั้นจะเอาไปใช้อะไรได้บ้าง มิหนำซ้ำ บางคนยังไม่ภูมิใจกับสิ่งที่เรียนอยู่เลยแม้แต่น้อย
`ผมว่าเราไม่ควรปล่อยไว้แบบนี้ อย่างน้อย คุณต้องภูมิใจในความรู้ที่คุณมี คุณต้องนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้ ไม่ใช่แค่เรียนไปส่งๆ เพื่อรอวันได้แต่งหน้า ทำผม แต่งชุดรับปริญญาเพียงอย่างเดียว คุณควรภูมิใจที่ได้ความรู้ ไม่ใช่ภูมิใจที่ได้ใบปริญญา``
คุณโอลิเวอร์ยังให้คำแนะนำแก่น้องๆนักศึกษาเพิ่มเติมอีกด้วยนะคะว่า การเรียนและการทำกิจกรรมสำคัญพอๆกัน การรักษาผลการเรียนให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจและการออกไปเจอโลกภายนอกบ้างจะทำให้น้องๆ เป็น “คน” อย่างสมบูรณ์
`บางทีผมเห็นใบจบของคนที่ได้เกียรตินิยมมา ผมก็กลัวนะ ผมไม่รู้เขาเคยทำอะไรนอกหลักสูตรบ้างหรือเปล่า เขาเคยออกไปใช้ชีวิตบ้างไหม ไปกินข้าว ดูหนัง หรือออกไปเที่ยว เขาเคยทำผิดพลาดบ้างหรือเปล่า เพราะนี่แหละคือ การใช้ชีวิต ผมต้องการคนที่อยู่ในโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่คนที่อยู่แต่กับตำรา ผมไม่ได้บอกว่าวิชาการไม่สำคัญนะ มันก็สำคัญ แต่ในวงการนี้ คนที่เรียนรู้จากหนังสือ ก็จะเป็นได้แค่นักประวัติศาสตร์ ถ้าอยากเป็นนักการตลาดจริงๆ ต้องออกมาเรียนกันข้างนอก ของแบบนี้ต้องเรียนรู้กันตลอดชีวิต คุณไม่มีทางรู้ทุกอย่าง คุณต้องสงสัย ต้องตั้งคำถามอยู่เสมอ มองไปรอบๆตัว แล้วบอกตัวเองว่าคุณไม่รู้อะไรเลย นี่แหละ คือการเรียนรู้ที่แท้จริง การเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น”
Jobnisit ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่มีใจรักในงานด้านการตลาดทุกคนค่ะ โดยเฉพาะน้องๆที่จบใหม่ ก็ควรหมั่นติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลานะคะ และที่สำคัญ ศึกษาโฆษณาให้เยอะๆ ทั้งจากมุมมองของผู้บริโภคเองและมุมมองผู้ผลิตโฆษณา ฝึกคิด ฝึกตั้งคำถามให้เยอะๆ อย่าให้การเรียนรู้จบแค่ในห้องเรียนนะคะ
และนี่คือตัวอย่างผลงานที่ Y&R ทำ