What's new | 5 August 2022

รวมมาแล้ว 10 Soft Skills ที่จะช่วย Up Level ในการทำงาน

ในการสมัครงาน เมื่อพูดถึงประสบการณ์และความสามารถต่าง ๆ คุณอาจจะเป็นผู้สมัครงานที่บริษัทตามหา แต่เมื่อถึงรอบสัมภาษณ์งานกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะขาด soft skills จนทำให้คุณพลาดโอกาสได้งานนั้น ดังนั้น soft skills เช่น ความอดทน ความกระตือรือร้น การให้เกียรติ จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้และประสบการณ์ที่คุณมี นอกจากนี้การมี soft skills จะทำให้คุณโดดเด่นมากยิ่งขึ้น เพราะทักษะที่ระบุในเรซูเม่ บ่งบอกคุณสมบัติของคุณเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่วิธีการที่คุณสื่อสารกับคนอื่น ๆ หรือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า จะบ่งบอกถึงความสำเร็จและทักษะของคุณได้มากกว่า

ข้อมูลจาก LinkedIn Global Tarlent Trends report ระบุว่า 92% ในการจ้างงานผู้ที่มีศักยภาพสูง บริษัทให้ความสำคัญกับ soft skills เทียบเท่ากับ hard skills เลยทีเดียว นอกจากนี้ soft skills ยังเป็นทักษะที่ทำให้เรามีโอกาสได้งานสูงขึ้น ไปดูกันว่ามี soft skills อะไรบ้างที่คนทำงานอย่างคุณควรมีสำหรับการทำงานในยุคนี้

 

Soft Skills ที่ควรมีในการทำงาน:

  • การปรับตัว (Adaptability)
  • ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional intelligence)
  • สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication)
  • การเจราจาต่อรอง (Negotiation)
  • การทำงานเป็นทีม (Teamwork)
  • การมองโลกในแง่ดี (Positive attitude)
  • การบริหารเวลา (Time management)
  • การแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Resolve Conflicts)
  • จรริยธรรมในการทำงาน (Work ethic)
  • การร่วมมือกัน (Integretion)

 

1. การปรับตัว (Adaptability)

การปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นสิ่งสำคัญในการเติบโตบนเส้นทางอาชีพการงานของคุณ เพราะความสามารถในการปรับตัวได้ในที่ทำงานคือ การที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนหน้าที่ ขั้นตอนการทำงาน หรือปัจจัยโดยรอบต่าง ๆ ได้ พูดง่าย ๆ คือ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหนคุณก็เอาอยู่

อย่ามัวรอแต่ให้การเปลี่ยนแปลงมาถึง แต่ให้คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วพิจารณาว่าคุณควรจะปรับตัวอย่างไร และในการเปลี่ยนแปลงนั้นมีโอกาสใหม่ ๆ อะไรบ้างที่ทำให้คุณได้พัฒนาทักษะต่าง ๆ นี่คือสิ่งที่คุณควรตั้งคำถามกับตัวเอง

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นไปได้หลายรูปแบบ เช่น การเปลี่ยนผู้จัดการที่มีแนวคิดในการทำงานที่เข้มงวด หรือความรับผิดชอบเพิ่มเติมที่คุณได้รับในตำแหน่งงาน แล้วอะไรจะทำให้คุณก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นได้ เพียงแค่เปิดใจ เชื่อว่าเราสามารทำได้ และพร้อมจะเรียนรู้ไปกับมัน เท่านี้คุณก็สามารถปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

 

 

2. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional intelligence)

ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นความสามารถส่วนบุคคลในการรับรู้ ประเมิน และควบคุมอารมณ์ของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็สามารถรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นได้ โดยความฉลาดทางอารมณ์นั้นนับเป็น EQ ของแต่ละคน คนที่มี EQ สูงมักจะคิดก่อนพูดและลงมือทำ ทั้งยังฝึกไตร่ตรองและทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตนเองอีกด้วย พวกเขาจะไม่ตัดสินใจในขณะที่โกรธ หรือเมื่อรู้สึกวิตกกังวลก็จะถอยออกมาเพื่อตั้งสติ คนที่รู้จักการควบคุมอารมณ์ของตนได้นั้นจะไม่ปล่อยให้อารมณ์ด้านลบ มาขัดขวางการทำงานและลงมือทำจนสามารถประสบความสำเร็จได้

 

3. สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication)

การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ และเป็นมากกว่าการถ่ายโอนข้อมูลจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่สื่อสารได้ดีจะสามารถอธิบายความคิดออกมาได้อย่างชัดเจน ทั้งยังสามารถผสาน Proactive และ Productive ไว้ด้วย เมื่อคุณสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะลดความเข้าใจผิด และลดความผิดพลาดได้ ไม่ว่าคุณจะแชร์วิสัยทัศน์กับทีมหรือกำหนดขอบเขตของการทำงาน ก็จะทำได้อย่างกระชับและชัดเจน ความสามารถในการสื่อสารที่ดีจะเสริมสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีให้นานขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างชื่อเสียงในด้านที่ดีให้กับคุณอีกด้วย

 

4. การเจราจาต่อรอง (Negotiation)

การเจราจาต่อรองเป็นทักษะที่สำคัญและเป็นทักษะพื้นฐานของ soft skills ภายใต้การเจราจาต่อรองนั้น ก็จะประกอบไปด้วยการบริหารเวลา ความกระตือรือร้น ความรับผิดชอบ และการคิดเชิงวิพากษ์หรือการคิดโดยใช้หลักเหตุผล ในการเจราจาต่อรองนั้นควรวางหลักสำคัญและกำหนดขอบข่ายที่ชัดเจน เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะเจราต่อรองได้และไม่สามารถทำได้ โดยใช้ข้อเท็จจริง รวมถึงข้อมูลล่าสุดที่มีความน่าเชื่อถือ และพิจารณาถึงแหล่งที่มาและบริบทของข้อมูลต่าง ๆ โดยวิธีนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างครอบคลุม และสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการเจราจาต่อรองได้

 

5. การทำงานเป็นทีม (Teamwork)

"Teamwork makes the dream work" เพราะทุกธุรกิจจะดำเนินไปไม่ได้เลยถ้าขาดทีม และคนที่ทำงานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน และนำไปสู่ความสำเร็จได้ โดยการฉลองเล็กๆน้อย ๆ กับทีม และการชื่นชมคนในทีมเมื่อทำผลงานได้ดี สิ่งเหล่านี้จะสร้างวัฒนธรรมในการทำงานให้มีความสุข เพื่อนหรือลูกน้องในทีมจะรู้สึกว่าได้รับการยอมรับ เมื่อพนักงานมีแรงจูงใจในการทำงาน ก็จะมุ่งมั่นอย่างเต็มที่มาขึ้นเป็น 2 เท่า และนั่นทำให้บริษัทเกิดการพัฒนาถึง 10 เท่า ดังนั้นการให้ความสำคัญกับสิ่งเล็ก ๆ ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อย่าได้มองข้ามไป

 

 

6. การมองโลกในแง่ดี (Positive attitude)

การมองโลกในแง่ลบไม่ทำให้อาชีพของคุณก้าวหน้าขึ้น แต่การตั้งเป้าหมายและมีความคิดในแง่บวกโดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานเป็นทีม จะทำให้ทีมสามารถบรรลุเป้าหมายอย่างที่ตั้งใจได้ ดังนั้นทัศนคติเชิงบวกจะช่วยให้คุณเลื่อนตำแหน่งในองค์กรได้เร็วขึ้น คุณจึงควรหลีกเลี่ยงการคิดในแง่ลบ การนินทา และการบ่น เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่ในทางกลับกันควรจะมองหาความท้าทายและคิดหาวิธีใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา คนที่คิดบวกจะมองเห็นความเป็นไปได้มากกว่าสิ่งกีดขวางตรงหน้า ทัศนคติเป็นเสมือนโรคติดต่อ ดังนั้นความคิดเชิงบวกจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความพึงพอใจในงาน รวมไปถึงวิธีที่คนอื่นมองคุณ

 

7. การบริหารเวลา (Time management)

เพื่อการเติบโตในอาชีพการงาน การบริหารเวลานับเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้น ๆ และเราจะบริหารเวลาอย่างไร? เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการเรียงลำดับความสำคัญเรื่องต่าง ๆ จะช่วยคุณได้ โดยแบ่งงานออกเป็น “งานด่วน” “งานสำคัญแต่ไม่ด่วน” และหมวด “อื่น ๆ” โดยรู้จักใช้เครื่องมือต่าง ๆ มาช่วยในการอำนวยความสะดวกให้สามารถทำงานเร็วขึ้น หรือมอบหมายงานบางส่วนให้กับผู้อื่น และลบงานที่ไม่จำเป็นออกไป นอกจากนี้การจัดเวลาในปฏิทินหรือทำ checklist ขึ้นมาจะช่วยให้คุณสามารถบริหารเวลาได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

8. การแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Resolve Conflicts)

พยายามหลีกหลี่ยงความขัดแย้งในองค์กร หรือถ้าไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้ก็ควรแก้ปัญหานั้นให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่โต เราสามารถนำสกิลการพูดคุยหรือการเจรจาต่อรอง แบบที่เคยกล่าวไปก่อนหน้านี้มาช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ บ่อยครั้งที่ปัญหาความขัดแย้งมักเกิดจากการได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ดังนั้นความชัดเจน ความถูกต้อง การแนะนำ นโยบาย การกำหนด deadline รวมถึงการพูดคุยกันทันทีเมื่อไม่เข้าใจตรงไหน จะสามารถป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในที่ทำงานหลาย ๆ ที่ได้

 

9. จริยธรรมในการทำงาน (Work ethic)

การแสดงความรับผิดชอบและยอบรับในผลงานของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องทำงานเป็นทีม ให้จำไว้ว่าไม่ควรโยนความรับผิดชอบให้ผู้อื่น เพราะเมื่อเวลาทีมของคุณชนะ หรือผิดพลาด ผลลัพธ์ที่โชว์ออกมาจะสะท้อนถึงตัวคุณและจรรยาบรรณในการทำงานของคุณด้วยเช่นกัน สิ่งสำคัญคือเราจะต้องยอมรับในข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่ควรโยนความผิดให้กับคนอื่น ควรส่งงานให้ตรงเวลา เคารพเพื่อนร่วมงาน และแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นในการทำงาน

 

10. การร่วมมือกัน (Integretion)

การแข่งขันถือเป็นเกมส์ระยะสั้น ในขณะที่การร่วมมือกันคือการนำไปสู่ความสัมพันธ์และการเติบโตไปในระยะยาว การร่วมมือกันยังทำให้สามารถสร้างมิตรภาพดี ๆ เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงไอเดียใหม่ ๆ สองสมองย่อมดีกว่าสมองเดียว และความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดจากการระดมสมองจะสามารถผลักดันให้บริษัทก้าวไปข้างหน้าได้ไกลยิ่งขึ้น เหมือนกันกับเวลาที่คุณต้องทำงานร่วมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีม คุณมักจะได้เรียนรู้วิธีใหม่ ๆ ในการจัดการงานที่ได้รับมอบหมายและได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของกันและกัน การแบ่งปันข้อมูลสามารถช่วยฝึกทักษะในสายงานใหม่ ๆ ภายในทีมได้

 


 

ปัจจุบันในการทำงาน การมี Soft Skills เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากและมักถูกมองข้าม เพราะเป็นทักษะที่ยากต่อการวัด คำนวณ และหาประสิทธิภาพออกมาอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ทักษะ soft skills เป็นสิ่งสำคัญในพัฒนา และปรับตัวในสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ดี เมื่อคุณพัฒนาและฝึกฝน Soft Skills ไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถสร้างโอกาสในการทำงาน หรือการสมัครงานให้กับคุณได้ ทั้งยังทำให้การทำงานในออฟฟิสของคุณมีความสุขยิ่งขึ้น