ประสบการณ์ที่ได้รับจากบริษัทนี้

จากประสบการณ์ทำงานส่วนตัวพบว่า บริษัทนี้มีการบริหารแบบสตาร์ทอัพที่เติบโตเร็วมาก ตั้งแต่เริ่มงานเรามีกันแค่สิบกว่าคน แต่ สิบเดือนผ่านไป ตอนนี้มีกันสี่สิบกว่าคน..ฟินีม่า นอกจากจะให้ฐานเงินเดือนที่สูงพอๆ กับบริษัทระดับอินเตอร์หลายแห่ง (ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของตัวเอง) พอเข้างาน เราจะได้รับคอมพิวเตอร์ส่วนตัว, หากมีสกิลอะไรที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติมสามารถแจ้งกับทาง HR ได้โดยตรง เพื่อขออนุมัติจาก CEO ต่อไป บริษัทพร้อมให้การสนับสนุนด้านการเรียนรู้ใหม่ๆ และพัฒนาบุคลากรในทุกด้านจริงๆ (โดยส่วนตัวก็เพิ่งจบคลาส Advance Content Marketing กับค่าเรียนหลักหมื่นที่บริษัทก็สนับสนุน) ที่สำคัญบริษัทอนุญาติให้เรานำสัตว์เลี้ยงมาทำงานด้วยได้ ซึ่งเวลาที่หมาไม่สบาย เราก็น้องไปหาหมอ แล้วพามาทำงานด้วยได้ แบบไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง คือ ดีๆๆๆๆๆๆๆ. ^_^ สำหรับพ่อแม่รุ่นใหม่ บริษัท ก็อนุญาตคุณพ่อลาไปดูแลภรรยาและลูกที่เพิ่งเกิดได้ เพราะซีอีโอมองว่า การทำงานที่มีดีและประสิทธิภาพสูง ล้วนมาจากความสุขความสบายใจที่ทำให้ทุกคนตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนสาวๆก็จะจี๊ดหน่อยตรงที่เรามีวันลาหยุดพิเศษเพิ่มอีก 4 วันต่อปีในวันที่ปวดท้องประจำเดือน โดยที่สาวๆ จะสามารถสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานของตัวเองได้โดยตรง เพราะทุกคนไม่ว่าจะ ผู้หญิงหรือผู้ชายจะเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี และเคารพซึ่งกันและกัน ที่ออฟฟิศมีผ้าอนามัยฟรี ที่ทุกคนสามารถหยิบใช้ได้เลย รวมถึงหนุ่มๆ ก็ได้รับอนุญาตให้หยิบไปให้แฟนสาวหรือภริยาได้เช่นกัน นอกจากนี้ก็มีห้องนอนให้สำหรับคนที่ต้องการพักผ่อน ก่อนกลับมาทำงานต่อ. มีอุปกรณ์ดนตรีที่เราจะมานั่งเล่นและร้องเพลงกัน ช่วงเบรค หรือรอส่งต่องาน มีขนมและเครื่องดื่ม มาม่า และของกินอีกมากมายสำหรับพนักงานทุกคน ให้หยิบทานได้แบบ no limit นอกจากนี้ยังมีอาหารหมาที่เราสามารถหยิบมาให้หมาจรแถวออฟฟิศได้อิ่มท้องตอนเดินมาขอของกินด้วย เวลาเข้างานยืดหยุ่นได้ คือเริ่ม 10.00 โมงเช้า ถึง ทุ่มนึง ทุกวันอังคารจะมีกิจกรรมภายในองค์กร ที่แต่ละอาทิตย์จะมีคนมาแบ่งปันความรู้ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยี กฏหมาย การท่องเที่ยว อาหารและเรื่องที่น่าสนใจ ทุกเดือนจะมี One on One meeting with CEO พูดถึง Life Graph ของตัวเอง ระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว นอกจากสวัสดิการพื้นฐานอย่าง ประกันสังคมแล้ว เรายังมีประกันสุขภาพ และประกันชีวิตแบบกลุ่มด้วย เวลาหาหมอแบบ opd ก็แทบไม่ต้องควักเงินออกมาจ่ายเลย การสื่อสารภายในองค์กร คือ เราคุยกันผ่านไลน์กลุ่ม (ห้ามคุยเรื่องงาน) แทบจะตลอดเวลา ทุกคนออกความคิดเห็นได้ ดูแลกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่ WFH แล้วมีคนเสี่ยงติดโควิด แต่หาที่ตรวจไม่ได้ CEO ก็ส่งตัวเทสต์ At Home ไปให้ที่บ้าน เพื่อสกรีนตัวเองเบื้องต้น พอมีคนติดเชื้อ ก็ประสานงานหา Hospitelให้ มีรถพยาบาลมารับ ภายใน 1 ชั่วโมง และเวลาที่ใครจะทำกิจกรรม เพื่อการกุศลอย่าง (ส่วนตัว) เช่น รณรงค์ให้คนออกมาบริจาคเลือดให้สภาพกาชาดไทย ในวิกฤตโควิด (พอซีอีโอทราบก็สนับสนุนทันที ส่วนวัฒนธรรมองค์กร ก็ใกล้ชิด กันมากๆ (ก่อนโควิด) เราก็นำอาหารจากบ้านมาแบ่งกันทาน ดูแลกัน แม้ที่ออฟฟิศจะเต็มไปด้วย ดร. และนักฟิซิกส์ รวมถึง คอมฟิวเตอร์โอลิมปิก ที่จบมาจากนานาประเทศ แต่ทุกคนก็ถ่อมตน พร้อมที่จะเปิดรับ และเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ด้วยกัน แถมบางเสาร์อาทิตย์ เหล่า Tech Geek ก็มีนัดกันไปเล่มเกมส์ VR ด้วยกัน แบบกิจกรรมกลุ่มสนุกสนาน