คำแนะนำด้านอาชีพ | 25 September 2015

4 เรื่องที่คุณกังวลมากไป หรือ 4 เรื่องที่คุณยังกังวลไม่มากพอ

ถ้าอะไรที่มันไม่ปกติเกิดขึ้นที่ทำงาน แน่นอนว่าผู้จัดการหรือหัวหน้าต้องเรียกประชุมกันแบบปัจจุบันทันด่วนเลยใช่มั้ยคะ แล้ว ปฏิกิริยาแรกของคุณเมื่อรู้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง?

Those Who Are Overly Worried All The Time Are Often Incredibly ...

 

A.)    คิดว่าบริษัทกำลังหาทางปลดพนักงานแน่ๆ

B.)    สงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับข่าวลือเรื่องนโยบายวันหยุดแบบใหม่ที่คุณพึ่งได้ยินมาหรือเปล่า

C.)    คิดว่าคุณกำลังจะได้รางวัลเป็นโบนัสก้อนใหญ่ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานแหงเลย

 

ถ้าคุณเลือกข้อ A.) คุณน่าจะเป็นพนักงานที่มีความรอบรู้และทำอะไรรอบคอบ แต่บางครั้ง คุณก็วิตกกังวลกับเรื่องต่างๆ มากเกินไปหน่อย

ถ้าคุณเลือกข้อ C.) คุณก็อาจจะเป็นพนักงานที่มองโลกในแง่ดี แต่บางครั้ง คุณก็โลกสวยเกินไปทั้งๆ ที่อะไรหลายๆ อย่างก็บอกอยู่ว่านี่มันไม่ใช่แบบที่คุณคิด

เพื่อที่จะอยู่ตรงกลางระหว่างมั่นใจมากเกินไปและมั่นใจน้อยเกินไป ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีสถานกาณ์แบบไหนบ้างที่คุณอาจจะกังวลเกินเหตุ หรือชิวเกินไปจนดูเหมือนไม่แคร์อะไรเลย

 

1.       เจ้านายอยู่ๆ ก็อยากพบคุณแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

การที่จู่ๆ เจ้านายของคุณก็ขอพบคุณแบบสองต่อสองทั้งๆ ที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรนอกจากบอกว่า “อยากคุยด้วย” มันอาจจะทำให้หัวใจวายแบบเบาๆ ได้เลยนะถ้าคุณเป็นคนขี้วิตกกังวลอยู่เป็นทุนเดิม ในใจคุณอาจจะคิดไปถึงขั้นว่าตัวเองอาจจะทำอะไรผิดหรือโดนไล่ออกเลยก็เป็นได้ มันง่ายมากที่จะคิดถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม การโดนไล่ออกมันค่อนข้างจะดูเป็นไปได้ยากถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้น หรือมี warning มาก่อนหน้านี้ คือจริงๆ แล้วมันก็เป็นไปได้ที่จะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันยากมาก และการที่คุณจะไปนั่งกังวลต่างๆ นานามันก็จะเป็นการใช้พลังไปอย่างสิ้นเปลืองสักหน่อย

 

ยกเว้นว่า คุณเคยโดนเรียกหรือโดนเตือนมาแล้ว

 

คุณเคยโดนเตือนมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าคะ? อาจจะเป็นตอนสัปดาห์ที่แล้วที่เจ้านายเดินมาถามเรื่องรายงานที่คุณยังไม่ได้ส่ง แล้วก็ส่งอีเมลมาทวงอีกทีว่าเขาอยากได้รายงานภายในวันนั้นได้นะ และเมื่อคุณทำไม่ทัน เจ้านายก็บอกให้คุณจับกลุ่มกับคนอื่นแล้วทำมันให้เสร็จ มันอาจจะดูไม่มีอะไรมาก ดูเป็นปัญหาจุกจิกทั่วไปในออฟฟิศ แต่ถ้าปัญหาบางอย่างมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วตอนนี้คุณก็โดนเจ้านายเรียกไปคุย คุณก็อาจจะได้รับการเตือนอย่างเป็นทางการได้เหมือนกันนะ

How to Talk to Your Boss About Your Mental Health

 

2.       คุณทำอะไรผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง

เรื่องแบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน โดยปกติคุณก็เป็นพนักงานที่ดี แต่พอวันหนึ่งคุณดันทำอะไรพลาด ซึ่งดันเป็นเรื่องใหญ่อย่างคิดเงินลูกค้าเกิน ลืมงานใหญ่ที่หัวหน้าสั่งไว้ แล้วมันก็เลย deadline ไปแล้ว หรือคุณอาจจะสะเพร่าจนเขียนตัวเลขงบประมาณของไตรมาสหน้าในรายงานผิด ความผิดนี้ใหญ่หลวงมาก คุณจะโดนไล่ออกแน่เลยใช่ไหม? โอเค คุณทำพลาด คุณอาจจะมีเหตุผลว่าทำไมคุณถึงพลาด คุณทำให้ตัวเอง เจ้านายของคุณ และแผนกของคุณดูแย่ และคุณก็ควรจะต้องแสดงความรับผิดชอบบางอย่าง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณบังเอิญมีหัวหน้าที่น่ารักและมีเหตุผล เขาหรือเธอน่าจะยินดีช่วยคุณก้าวผ่านปัญหานี้ไปด้วยกันค่ะ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะว่าทุกๆ คนสามารถทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจ มันอาจจะฟังดูเหมือนข้อแก้ตัวนะ แต่ตราบใดที่คุณเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง และหาวิธีที่จะไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก มันก็โอเคแล้วล่ะ

 

ยกเว้นว่า บริษัทหรือนายของคุณมักจะทำตัวไม่มีเหตุผลอยู่เสมอ

 

แน่นอนว่า บริษัทแต่ละที่ก็ต่างกัน และถ้าองค์กรของคุณมีประวัติว่าชอบโจมตีพนักงานที่ทำอะไรพลาด เช่น อยู่ๆ ก็พาเดินออกไปเลยแล้วบอกว่าโดนไล่ออกโดนที่ไม่มีการเตือนหรือบอกกล่าว หรือเจ้านายของคุณเป็นคนไม่มีความอดทนแม้แต่กับความผิดเล็กๆ น้อยๆ คุณก็ทำถูกแล้วที่เป็นกังวล

 

3.       ทุกคนได้รับเชิญยกเว้นคุณ

คุณเปิดเข้าเฟสบุ๊คแล้วก็เจอรูปเพื่อนร่วมงานของคุณจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกัน ซึ่งในรูปก็มีเพื่อนร่วมงานของคุณทุกคนอยู่ในนั้น...ยกเว้นคุณ หรือบางทีเพื่อนร่วมทีมของคุณก็ชวนกันไปจกส้มตำมื้อเที่ยง แต่ไม่มีใครสนใจจะชวนคุณเลย แย่แล้ว ทุกคนคงเกลียดคุณแน่ๆ คุณไม่ควรจะอยู่ที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ และเดี๋ยวคุณก็จะโดนสังคมบีบให้ออกจากงานอย่างแน่นอน แต่บางที มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้นะ บางทีเพื่อนร่วมทีมของคุณอาจจะนัดกันไปคุยเรื่องโปรเจคบางอย่าง หรือบางที่ เพื่อนที่จัดบาร์บิคิวอาจจะสนิทกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ มากกว่าคุณ เธอก็เลยไม่ชวนคุณก็ได้นะ คุณไม่จำเป็นจะต้องได้รับคำเชิญกับทุกเรื่องสักหน่อย และคุณก็ไม่ควรจะกังวลกับมันด้วย

 

ยกเว้นว่า คุณไม่เคยได้รับเชิญไปไหนเลย

 

ถ้าคุณไม่เคยโดนชวนไปกินข้าวเที่ยง ไปปาร์ตี้บาร์บิคิว ไปนั่งชิลหลังเลิกงาน หรือแม้แต่ชวนไปซื้อกาแฟ มันก็มีเหตุผลที่จะเป็นกังวลอยู่ล่ะนะ ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนอาจจะเข้าใจผิดว่าคุณเป็นพวกบ้างาน เป็น workaholic และจะไม่กินข้าวเที่ยงถึงแม้ว่าจะมีใครชวนก็ตาม หรือคุณอาจจะปฏิเสธเพื่อนร่วมงานไปหลายครั้งแล้วก็เลยไม่มีใครกล้าชวนคุณ หรือคุณอาจจะไม่เคยแสดงออกว่าสนใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเพราะคุณไม่เคยถามคำถามหรือพูดคุยอะไรกับใครเลยในเวลาพัก คุณก็เลยไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับใครเลย คุณอาจจะไม่โดนไล่ออกเพราะไม่ยอมเข้าสังคมกับเพื่อนร่วมงานหรอก แต่มันก็บ่งบอกถึงปัญหาอีกอย่างได้นะ การไม่มี work-life balance ยังไงล่ะ

Going Solo in the Gig Economy? How to Work Alone Without Feeling ...

 

4.       เจ้านายบอกคุณว่าไม่ต้องทำงานชิ้นนี้อีกต่อไปแล้ว

คุณเป็นคนเขียน weekly newsletter บริษัทอยู่ทุกสัปดาห์ และมันก็เป็นหน้าที่ของคุณตั้งแต่คุณเข้ามาทำงานที่นี่จนได้ 3 ปีแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้านายบอกคุณว่าคุณไม่ต้องเขียนแล้ว เขาจะให้คนอื่นทำหน้าที่นี้แทน เจ้านายคิดว่าคุณไม่มีประสิทธิภาพหรือเปล่า? หรือคุณทำ newsletter ไม่ดีพอใช่ไหม? หรือเขาวางแผนที่จะไล่คุณออกก็เลยหาคนมาทำตรงนี้แทน? หรือจริงๆ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดนั่นก็ได้นะคะ โดยทั่วไป เจ้านายส่วนใหญ่จะมีเจตนาที่ดี เช่น เขาอาจจะคิดว่าคุณเก่งเกินจะทำงานนี้แล้ว และน่าจะได้ทำอะไรที่มันท้าทายกว่านั้น หรือเขาอาจจะอยากให้คุณเปลี่ยนไปทำแนวบริหาร ให้คอยดูแลและให้คำปรึกษากับคนที่มารับช่วงต่อจากคุณแทน

 

ยกเว้นว่า คุณไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากที่มีงานน้อยลงหนึ่งชิ้น

 

อย่างไรก็ตาม มันก็มีเหตุผลที่จะเป็นกังวลล่ะนะ ถ้าเกิดว่าคุณมองไม่ออกว่าคุณจะได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้ เจ้านายบอกคุณว่าไม่ต้องทำงานนี้อีกแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ส่งต่อไปให้คนอื่นทำ คุณก็ยังทำงานในตำแหน่งเดิม แต่หน้าที่รับผิดชอบน้อยลง แล้วเจ้านายของคุณก็คอยมาบอกว่าไม่ต้องทำนั่นแล้วนี่แล้วอยู่เรื่อยๆ ระหว่างที่คุณกำลังมีความสุขกับงานที่สบายขึ้นและเวลาว่างพี่เพิ่มขึ้นมา มันอาจจะเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังทำงานไม่โอเค หรือตำแหน่งของคุณไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไปแล้วก็ได้นะ ในกรณีส่วนใหญ่ การวิตกกังวลกับเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่ แต่อาจจะทำให้คุณเครียดมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรจะปล่อยปละละเลยกับสัญญาณเตือนเหล่านั้นนะ กังวลอย่างพอประมาณก็เพียงพอแล้วล่ะ

Does anxiety cause a loss of appetite?

ความกังวลเป็นเหมือนมีดสองด้าน เป็นสิ่งขับเคลื่อนให้คุณป้องกันภัยที่กำลังจะเกิด สำหรับคนที่ไม่คิดบวกโดยไม่อยู่ในโลกแห่งปัจจุบัน มองแอปเปิ้ลอาบยาพิศเป็นแอปเปิ้ลแสนอร่อย และ สิ่งที่ทิ่มแทงทำร้ายคุณเอง สำหรับคนที่คิดล่วงไหนไปไกลกับสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือ เอาไปปะติปะต่อกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต กังวลในทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น การกังวลจึงเป็นสิ่งที่ดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน เราควรกังวลอย่างพอประมาณ 

สิ่งที่จะช่วยคลายความกังวลของคุณได้ก็คือที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เช่น ศาสนา หรือ การต้งเป้าหมายอย่างชัดเจน เราต้องหาต้นเหตุที่แท้จริงของจุดริเริ่มการกังวลในครั้งนี้ มันเป็นเพราะอะไร เป็นสิ่งที่คุณควบคุมได้หรือไม่ ถ้าได้ คุณควรจะเปลี่ยนตัวเองยังไงเพื่อสิ่งที่คุณคาดคิดไม่เป็นอย่างนั้น เส้นที่แข็งแรงแต่ตึงเกินไปยังมีโอกาสที่จะขาดได้เลย ดังนั้น ควรใช้เหตุและผล จัดอันดับความคิดให้เป็นไปตามจริง เรื่องที่เกินกว่าเราจะควบคุมก็จงปล่อยวาง สู้ๆนะ เราจะก้าวผ่านความกังวลไปด้วยกัน!