ไลฟ์สไตล์ | 2 April 2025

เตรียมพร้อมรับมือกับแผ่นดินไหว ฉบับพนักงานออฟฟิศ

ทุกวันนี้เราคิดว่าแผ่นดินไหวเป็นเรื่องไกลตัว เหมือนว่าแผ่นดินไหวมันจะเกิดแค่ในพื้นที่ที่มีรอยเลื่อน หรือในประเทศที่มีประวัติแผ่นดินไหวบ่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ลองนึกภาพดูว่าอยู่ ๆ โลกมันก็เริ่มสั่นแบบไม่ทันตั้งตัว จะรู้สึกยังไง? เราคงตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปเลย! เพราะสิ่งที่เราเคยคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเรา มันอาจจะเกิดขึ้นได้จริง ๆ อย่างแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเวลา 13:26 น. ของวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 ขนาด 7.7 ริกเตอร์ คงทำให้หลายคนตกใจและขวัญเสียไม่น้อย เพราะมันมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวมาก่อนเลย หลายคนคงไม่รู้จะทำยังไงต่อดี บางคนวิ่งไปวิ่งมา บางคนก็ยืนนิ่งๆ ไม่รู้จะไปที่ไหนหรือควรทำยังไงเพื่อให้ปลอดภัยที่สุด กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่แออัดไปด้วยผู้คนและตึกสูงหลายแห่ง ซึ่งเต็มไปด้วยสำนักงานต่าง ๆ ที่รองรับพนักงานออฟฟิศจำนวนมาก การเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้ารู้วิธีรับมือและมีแผนที่ชัดเจน เราจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น และช่วยให้ไม่เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายตามมา

 

 

เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ความพร้อมในการรับมือแผ่นดินไหวสำคัญมาก แม้ว่าเราจะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เราสามารถเตรียมตัวให้พร้อม เช่น ฝึกซ้อมแผนรับมือ ตรวจสอบความปลอดภัยในบ้านและที่ทำงาน หรือเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถรับมือได้ทันท่วงที หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกครั้ง การไม่เตรียมตัวให้พร้อมอาจนำไปสู่การสูญเสียชีวิตหรือทรัพย์สิน

ในบทความนี้ WorkVenture จะมาแชร์เคล็ดลับและวิธีการเอาตัวรอดจากเหตุแผ่นดินไหวที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทันที เพื่อความปลอดภัยของพนักงานออฟฟิศ


 Highlight

  • ลักษณะของคลื่นแผ่นดินไหวที่ส่งผลกระทบกับบ้าน หรือตึกสูง
  • วิธีเตรียมตัวให้พร้อมและเฝ้าระวังก่อนเกิดเหตุแผนดินไหว
  • วิธีรับมือขณะที่เกิดแผ่นดินไหว
  • วิธีรับมือหลังจากแผ่นดินไหว

     


 

 

ลักษณะของคลื่นแผ่นดินไหวที่ส่งผลกระทบกับบ้านหรือตึกสูง

แผ่นดินไหวคลื่นสั้น (Short-period Earthquake) 

แผ่นดินไหวตื้นๆ หรือที่เกิดใกล้พื้นผิวโลก ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเร็วและรุนแรง เพราะคลื่นมีความถี่สูง อาคารเตี้ยหรือที่ไม่มีการเสริมความแข็งแรงจะได้รับผลกระทบมากกว่า เนื่องจากคลื่นคาบสั้นสามารถทำให้อาคารโยกแรงจนเกิดความเสียหาย ส่วนอาคารสูงมักจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบหนัก เพราะมันมีความยืดหยุ่นและรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า

แผ่นดินไหวคลื่นยาว (Long-period Earthquake)

แผ่นดินไหวเกิดลึกลงไปใต้ดิน คลื่นที่เกิดขึ้นจะช้าลงและยาวขึ้น ทำให้อาคารสูงๆ อาจโยกไปมาได้มากเพราะมันสอดคล้องกับความถี่ของอาคาร (เรียกว่าเรโซแนนซ์) แต่ถ้าเป็นอาคารเตี้ยจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่ เพราะมันไม่สอดคล้องกันกับคลื่น

 

 

วิธีเตรียมตัวให้พร้อมและเฝ้าระวังก่อนเกิดเหตุแผนดินไหว

  1. การฝึกซ้อมแผ่นดินไหวเป็นประจำ (Earthquake Drills) 

    ในสถานการณ์จริง เราควรฝึกซ้อมการรับมือกับแผ่นดินไหวโดยการระเบิดสัญญาณเตือนภัย เพื่อให้พนักงานออฟฟิศทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร เช่น รีบหาที่หลบภัยใต้โต๊ะหรือในพื้นที่ที่แข็งแรง การฝึกซ้อมนี้จะช่วยให้ทุกคนไม่ตื่นตระหนกและทำตามขั้นตอนอย่างรวดเร็วและถูกต้อง

  2. การจัดเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินให้พร้อม (Emergency Kits)

    ควรเตรียมชุดฉุกเฉินในที่ทำงานให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยอุปกรณ์ที่จำเป็นได้แก่ น้ำดื่ม, อาหารกระป๋อง, ยารักษาโรคเบื้องต้น, ไฟฉายพร้อมถ่าน, ถุงมือ, และแผนที่ทางออก เพื่อให้พนักงานออฟฟิศสามารถใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ทันที

  3. การจัดการพื้นที่ทำงานให้ปลอดภัย (Office Safety)

    เพื่อความปลอดภัยในสำนักงาน ควรยึดติดชั้นวางของ, ตู้เอกสาร, หรืออุปกรณ์สำนักงานที่อาจตกลงมาในระหว่างแผ่นดินไหว และควรออกแบบพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม โดยการตั้งโต๊ะห่างจากหน้าต่างหรือผนังที่ไม่แข็งแรง เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากสิ่งที่อาจตกลงมา

  4. การสร้างความรู้และความเข้าใจ (Awareness)

    การอบรมเกี่ยวกับแผ่นดินไหวสำคัญมาก เพื่อให้พนักงานออฟฟิศเข้าใจถึงสาเหตุและผลกระทบของแผ่นดินไหว และสามารถเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม การศึกษาวิธีการปฏิบัติตัวและขั้นตอนการเตรียมตัวเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกคนในที่ทำงาน

  5. การสื่อสารและการติดตามข้อมูล (Communication)

    การตรวจสอบข้อมูลจากศูนย์เตือนภัยแผ่นดินไหวหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้พนักงานออฟฟิศได้รับข้อมูลที่อัปเดตและถูกต้องเกี่ยวกับแผ่นดินไหว เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที

 

 

วิธีรับมือขณะที่เกิดแผ่นดินไหว

  1. เปิดประตูและหน้าต่าง

    เมื่อแผ่นดินไหวเกิดขึ้น สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ควรเปิดประตูและหน้าต่างไว้ เพื่อไม่ให้ประตูติดล็อกจากการกดทับของอาคาร อาจจะทำให้ติดอยู่ในอาคารได้

  2. หาที่หลบที่ปลอดภัย 

    หลบในจุดที่แข็งแรง นั่งชิดกำแพง เช่น ใต้โต๊ะหรือใต้เตียง ในลักษณะคุกเข่าขาราบกับพื้นแล้วใช้มือจับหัว 1 ข้าง และจับท้ายทอยไว้ 1 ข้างแล้วหมอบลงกับพื้น เพื่อป้องกันสิ่งของหล่นมาโดนศีรษะ อย่าพยายามวิ่งหนีเพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการหกล้มหรือมีสิ่งของตกลงมาทับ

  3. ตรวจสอบความเสียหายเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพ

    เมื่อแผ่นดินไหวเริ่มสงบแล้ว ควรเริ่มต้นด้วยการประเมินความเสียหายของอาคาร ตรวจสอบว่ามีสิ่งของตกหล่นหรือไม่ และทำการปิดไฟ ปิดแก๊ส และปิดน้ำทันที เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือการรั่วของแก๊ส ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากแผ่นดินไหว ในกรณีที่ต้องออกจากอาคาร ควรหลีกเลี่ยงการใช้ลิฟต์ เพราะอาจมีความเสี่ยงจากระบบไฟฟ้าที่ไม่ปลอดภัย ควรใช้บันไดเพื่อความปลอดภัยและหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด ในกรณีที่มีความเสียหายหนัก ให้รอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนออกจากอาคาร

  4. แผนการอพยพหลังแผ่นดินไหว

    ให้รีบอพยพออกจากตึกและหาที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด ควรหยิบสิ่งของที่จำเป็น เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ หรือเอกสารสำคัญ ที่อาจจะใช้ได้ในภายหลัง เพราะหลังจากแผ่นดินไหวคุณอาจต้องอยู่ในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่สามารถกลับเข้าไปในตึกได้ นอกจากนี้ อย่าลืมใส่รองเท้าที่แข็งแรงเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการเดินเหยียบเศษวัสดุที่อาจตกลงมา

  5. อพยพจากอาคารหลังแผ่นดินไหว

    เมื่อแผ่นดินไหวสงบลง ควรหาทางออกจากตึกโดยใช้ทางหนีไฟ แต่ต้องระมัดระวังขณะลงบันได เนื่องจากในช่วงนั้นคนอาจจะชุลมุนและมีความเสี่ยงที่จะตกบันได โดยเฉพาะเมื่อมีพนักงานออฟฟิศจำนวนมากลงจากตึกพร้อมกัน หลังจากนั้น ควรหาที่โล่งและปลอดภัยเพื่อหลบภัย และให้ห่างจากอาคารหรืออาคารสูง เพื่อป้องกันอันตรายจากการถล่มหรือเศษวัสดุต่างๆ ที่อาจตกลงมาจากตึก

  6. ข้อห้ามสำคัญ

    ในช่วงที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว ไฟไหม้ หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ การใช้ลิฟต์ถือเป็นสิ่งที่ห้ามเด็ดขาด เพราะลิฟต์อาจไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ หรืออาจเกิดการขัดข้องระหว่างการใช้งาน ทำให้ผู้ที่ใช้ลิฟต์อยู่ในความเสี่ยง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ลิฟต์และใช้บันไดแทน และสำหรับคนที่ต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ขณะที่กำลังขับรถให้หยุดรถเพื่อป้องกันการทรงตัวไม่ได้ของรถ ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุบทถนน

 

 

วิธีรับมือหลังจากแผ่นดินไหว

  1. ตรวจสอบความปลอดภัยของตัวเองและคนรอบข้าง

    เช็คอาการบาดเจ็บ: หากคุณหรือคนรอบข้างได้รับบาดเจ็บ ให้ทำการช่วยเหลือเบื้องต้น เช่น หยุดเลือด, ปฐมพยาบาล หรือช่วยพาตัวออกจากพื้นที่เสี่ยง

    ตรวจเช็คสถานการณ์รอบข้าง: หากยังมีพนักงานออฟฟิศคนอื่นที่คุณสามารถช่วยเหลือได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครติดอยู่ในสถานที่ที่อาจเป็นอันตรายหรือซากปรักหักพัง

    ติดต่อขอความช่วยเหลือ: หากมีผู้บาดเจ็บสาหัสหรือสถานการณ์ยากลำบาก ควรโทรแจ้งหน่วยงานฉุกเฉินหรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่

  2. หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้พื้นอันตราย

    หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ซากปรักหักพัง: หลังจากแผ่นดินไหวอาจมีอาคารพังทลายหรือหลุดลอย ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้สิ่งเหล่านี้ เนื่องจากอาจเกิดการพังทลายเพิ่มเติมจากแรงสะเทือนหรือแผ่นดินไหวที่เกิดซ้ำ

    หลีกเลี่ยงการเดินผ่านสะพานหรืออาคารที่อาจมีความเสียหาย: สะพาน, ตึกสูง หรืออาคารที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวอาจยังไม่เสถียร ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่าน

  3. ตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ไฟฟ้าและน้ำ

    ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าและแก๊ส: ตรวจสอบว่าไฟฟ้าและแก๊สยังคงทำงานอยู่หรือไม่ หากพบว่ามีความผิดปกติ เช่น กลิ่นแก๊สหรือสัญญาณไฟฟ้าขัดข้อง ให้ปิดทันทีและหลีกเลี่ยงการเปิดไฟ

    ระวังการรั่วไหลของแก๊ส: หากคุณสามารถทำได้ ให้ปิดวาล์วแก๊สเพื่อป้องกันการรั่วไหล เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจเกิดการระเบิดหากมีประกายไฟ

    ตรวจสอบท่อน้ำ: หากมีการเสียหายจากท่อน้ำ ควรปิดวาล์วน้ำเพื่อป้องกันน้ำรั่วไหล ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง

  4. ตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร

    ตรวจเช็คความเสียหายของอาคาร: หากคุณอยู่ในอาคารหลังจากแผ่นดินไหว ตรวจสอบโครงสร้างเพื่อหาสัญญาณของความเสียหาย เช่น รอยร้าวที่กำแพง, พื้นที่ที่เป็นอันตราย หรือการพังทลายของเพดานหรือผนัง

    ออกจากอาคารหากไม่ปลอดภัย: หากอาคารที่คุณอยู่มีความเสียหายมากหรือมีการพังทลายของโครงสร้าง ควรออกจากอาคารอย่างระมัดระวังโดยไม่ใช้ลิฟต์

    ใช้ทางออกที่ปลอดภัย: หากต้องออกจากอาคาร ให้ใช้บันไดและหลีกเลี่ยงการเดินผ่านทางที่มีสิ่งของตกหล่นหรือโครงสร้างที่อาจเสียหาย

  5. ตรวจสอบแผ่นดินไหวที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ (Aftershock)

    ติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้: ควรติดตามข่าวสารหรือการเตือนภัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น ศูนย์เตือนภัยแผ่นดินไหว หรือเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ และรับคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    เตรียมตัวรับมือกับการเกิดแผ่นดินไหวครั้งที่สอง (Aftershock): แผ่นดินไหวที่อาจเกิดขึ้นหลังจากแผ่นดินไหวหลักมักมีความรุนแรงน้อยกว่า แต่ยังคงสามารถทำให้เกิดความเสียหายได้ ดังนั้นควรอยู่ห่างจากอาคารหรือโครงสร้างที่อาจได้รับความเสียหาย

    แจ้งข่าวสารให้ครอบครัว: ติดต่อคนในครอบครัวหรือเพื่อนเพื่อบอกว่าเราอยู่ในความปลอดภัย เพื่อให้ทุกคนสบายใจ

  6. สังเกตุหรือถามไถ่คนรอบข้าง เตรียมพร้อมสำหรับการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น

    ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บ: หากมีผู้บาดเจ็บจากแผ่นดินไหว และคุณสามารถให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นได้ เช่น ปฐมพยาบาล ควรทำทันที

    ช่วยเหลือคนที่ต้องการ: ให้ความช่วยเหลือแก่เด็ก, ผู้สูงอายุ, หรือคนที่มีความจำเป็นพิเศษในการอพยพจากพื้นที่เสี่ยง

    อย่าลืมช่วยเหลือสัตว์เลี้ยง: หากมีสัตว์เลี้ยงในในบริเวณโดยรอบ ควรตรวจสอบสถานะของพวกมันและช่วยพาพวกมันออกจากพื้นที่เสี่ยง

    ติดต่อกับคนที่คุณรัก: หากคุณไม่ได้อยู่กับครอบครัวหรือเพื่อนในขณะเกิดแผ่นดินไหว ควรติดต่อให้รู้ว่าคุณปลอดภัยและทำให้พวกเขารู้สถานการณ์ของคุณ

    คำนึงถึงความพร้อมในการฟื้นฟู: เตรียมแผนการฟื้นฟู เช่น การติดต่อกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ, การจัดหาอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำ, อาหาร, และที่พักชั่วคราว

    โทรแจ้งในกรณีฉุกเฉิน: หากพบเหตุการณ์ที่ต้องการการช่วยเหลือโดยด่วน โทรไปที่หน่วยงานฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ

     

     

  7. การจัดการความเครียด

    บางคนที่ประสบเหตุแผ่นดินไหวอาจมีอาการที่เรียกว่า "โรคสมองเมาแผ่นดินไหว" ซึ่งเกิดจากความเครียดและความวิตกกังวลที่มากเกินไป โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรควิตกกังวลหรือไมเกรน กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ใช้เทคนิคการหายใจลึกๆ หรือทำสมาธิเพื่อลดความวิตกกังวล รวมถึงการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยจัดการกับอารมณ์และความเครียด ดังนี้

    ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง: หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว การรู้สึกเศร้า, กังวล, หรือหวาดกลัวเป็นอารมณ์ธรรมชาติ อย่ากดทับหรือปฏิเสธความรู้สึกเหล่านั้น แต่ให้เวลาตัวเองฟื้นฟูอารมณ์และจิตใจ

    ระบายความรู้สึก: การพูดคุยกับคนที่เข้าใจ หรือการเขียนความรู้สึกลงในสมุดช่วยให้เราได้ระบายและลดความตึงเครียด หลีกเลี่ยงการดูข่าวหรือข้อมูลที่อาจกระตุ้นความรู้สึกทางลบ

    จัดการความเครียดด้วยวิธีง่ายๆ: ฝึกหายใจลึกๆ ช้าๆ หรือการออกกำลังกายที่ช่วยคลายเครียด และควรให้ความสำคัญกับการพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ

    กลับไปสู่กิจวัตรประจำวัน: การทำกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจสงบ เช่น การทานอาหารให้ครบมื้อ การนอนหลับพักผ่อน หรือการทำกิจกรรมที่เคยทำเป็นประจำ จะช่วยให้คุณฟื้นตัวเร็วขึ้น

    ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากมีอาการทางกายที่รุนแรงหรืออาการทางจิตที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ปวดหัวหนัก, นอนไม่หลับ, หรือรู้สึกซึมเศร้าหรือวิตกกังวลอย่างรุนแรง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อการดูแลที่เหมาะสม

     

1182 กด 0 กด 4 สายด่วนแผ่นดินไหว 

192 ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ

02 399 4114 ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ

1669 เรียกรถพยาบาล

เมื่อเกิดเหตุ หรือมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว สามารถโทรแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับความช่วยเหลือ 
 

การเตรียมตัวรับมือกับแผ่นดินไหวทั้งในที่ทำงานและในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับพนักงานออฟฟิศทุกคน ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรือที่ไหน แต่การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีสติและสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องเมื่อเหตุการณ์จริงเกิดขึ้น

สำหรับพนักงานออฟฟิศ การฝึกซ้อมแผนรับมือกับแผ่นดินไหวเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในอาคารสูงที่อาจมีความเสี่ยงจากการสั่นสะเทือนรุนแรงและการอพยพที่อาจทำได้ไม่รวดเร็ว การฝึกซ้อมแผนอพยพ, ตรวจสอบความปลอดภัยของอาคาร เช่น การเช็กโครงสร้างอาคารและการยึดติดสิ่งของที่อาจตกลงมาในช่วงเกิดแผ่นดินไหว จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจในการรับมือกับเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ พนักงานออฟฟิศควรจัดเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินในที่ทำงาน เช่น น้ำดื่ม, อาหารกระป๋อง, ไฟฉาย, และยาสามัญประจำบ้าน รวมถึงการศึกษาและทำความเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เช่น ห้ามใช้ลิฟต์ในระหว่างเกิดแผ่นดินไหว, การหาที่หลบภัยในจุดที่แข็งแรงและปลอดภัย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนมีความพร้อมที่จะรับมือและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
การมีความรู้และการเตรียมตัวล่วงหน้าไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานออฟฟิศสามารถรับมือกับสถานการณ์แผ่นดินไหวได้อย่างมั่นใจ แต่ยังช่วยให้ทุกคนสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีสติ ลดความตื่นตระหนก และทำให้สถานการณ์กลับสู่ความปกติได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่รู้หรือความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญอย่างแผ่นดินไหว