คว้าใจได้อยู่หมัด! 8 เหตุผลยืนยัน ทำไมยูนิลีเวอร์ถึงถูกยกให้เป็นสุดยอด 50 ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วย
รู้หรือไม่? 99% ของครัวเรือนไทย 25 ล้านครัวเรือนใช้ผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ 3 ครั้งต่อวันเลยนะ!
ถ้าพูดถึงผู้นำธุรกิจระดับโลกทางด้านความงามและการดูแลส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน ตลอดจนอาหารและเครื่องดื่ม คงจะขาด “ยูนิลีเวอร์” ไปไม่ได้ เพียงพูดถึงชื่อนี้ เชื่อว่าหลายคนก็ต้องร้องอ๋อแน่นอน เพราะสินค้ารอบตัวทุกคนต่างก็มาจากความตั้งใจอย่างต่อเนื่องกว่า 90 ปีของยูนิลีเวอร์เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกระดับ
แต่ความตั้งใจนั้นคงไม่อาจส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างราบรื่นแน่นอน หากไม่มีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้นอย่าง “พนักงาน” ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนขององค์กร ที่ยูนิลีเวอร์ให้ความสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยการสนับสนุนทั้งการเดินทางมาทำงาน สไตล์การทำงานที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ออฟฟิศที่ดีไซน์โดยมีพนักงานเป็นศูนย์กลาง สวัสดิการที่ยืดหยุ่นได้ และอีกมากมายที่คุณจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมยูนิลีเวอร์ถึงได้กลายเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ใครต่อใครก็อยากจะร่วมงานด้วย รวมไปถึงเหล่าคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่พร้อมจะเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน
หากคุณเป็นคนรุ่นใหม่ที่กำลังไม่แน่ใจว่าควรจะสมัครงานกับยูนิลีเวอร์ดีไหม วันนี้ WorkVenture ได้รวบรวมเหตุผล 8 ข้อที่ยืนยันว่าการทำงานกับที่นี่มีดีขนาดไหนมาให้แล้ว จะมีเรื่องอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย!
1. ประวัติองค์กร 100 กว่าปีระดับโลก 90 กว่าปีในไทย ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค
ย้อนกลับไปในสมัยศตวรรษที่ 19 วันนี้เราจะขอพาทุกคนไปเยือนประเทศอังกฤษ ต้นกำเนิดของยูนิลีเวอร์ที่ก่อตั้งโดยคุณ วิลเลียม ลีเวอร์ (William Lever) ที่เริ่มจากการเป็นแบรนด์ขายสบู่ จนก้าวขึ้นมาสู่การเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์ความงามและการดูแลส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มอย่างในปัจจุบัน ภายใต้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่เน้นสร้างความยั่งยืนให้กับโลกของเรา สร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้น ไปจนถึงการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสร้างความยุติธรรมและสังคมที่เปิดกว้างขึ้น
ยูนิลีเวอร์ได้เข้ามาดำเนินการธุรกิจในประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2433 ภายใต้ห้างลีเวอร์บราเธอร์ ลิมิเต็ด ผ่านการจำหน่ายสบู่ซันไลต์ ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2451 จะได้รับหนังสือแต่งตั้งให้เป็นช่างทำสบู่ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ต่อมาในปีพ.ศ. 2475 ก็ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย ภายใต้ บริษัท สยาม อินดัสทรีส์ จำกัด และในปี พ.ศ. 2497 ก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น บริษัท ลีเวอร์บราเธอร์ (ประเทศไทย) ในที่สุด
ยูนิลีเวอร์จึงถือเป็นบริษัทที่เคียงข้างและคอยดูแลคนไทยมากว่า 90 ปี ผ่านสินค้ามากมายที่ไม่เคยหยุดพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของผู้บริโภค และพร้อมที่จะมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคนไทยทุกยุคทุกสมัยอย่างมั่นคงต่อไป
2. โลเคชั่นและการเดินทาง ออฟฟิศทำเลทอง เดินทางง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกรูปแบบ
จะมีออฟฟิศที่ไหนสะดวกสบายไปกว่าที่ยูนิลีเวอร์อีก? เพราะอาคารยูนิลีเวอร์ เฮ้าส์ เขาตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ บนถนนพระราม 9 สามารถเข้าออกได้ทั้งจากฝั่งถนนรัชดาภิเษก และถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้ทางด่วนศรีรัช ทางด่วนโทลล์เวย์ และทางด่วนฉลองรัช ใครที่มีรถส่วนตัวก็สามารถขับมาได้ เขามีที่จอดรถสำหรับพนักงานถึง 400 คันเลยนะ! แถมตัวโครงการอยู่ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีพระราม 9 รถไฟฟ้า BTS สถานีอโศก และ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ สถานีมักกะสัน อีกทั้งรอบ ๆ ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ ไปจนถึง ห้างสรรสินค้า โรงพยาบาล และสถานศึกษาชั้นนำอีกด้วย เช่น Esplanade รัชดาภิเษก, ตลาดเมืองไทยภัทร, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และโรงพยาบาลพระราม 9 สะดวกสบายต่อการเดินทางและการใช้ชีวิตแบบนี้ หาได้แค่ที่ยูนิลีเวอร์เท่านั้น
3. รูปแบบการทำงาน ตั้งใจยืดหยุ่นด้วย Intentionally Hybrid รองรับความหลากหลายของพนักงาน
ลืมภาพการทำงานแบบ Hybrid แบบเดิมออกไปได้เลย เพราะระบบการทำงาน Hybrid ของที่นี่เป็นแบบ “Intentionally Hybrid” หรือ “การทำงานแบบผสมผสานอย่างตั้งใจ” ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2562 ถูกใจสไตล์การทำงานคนรุ่นใหม่ เพราะการสร้างความยืดหยุ่นให้กับการทำงานคือเป้าหมายของยูนิลีเวอร์ เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายในชีวิตของพนักงานทุกคน โดยกำหนดให้ร้อยละ 40 ของเวลาการทำงานทั้งหมดในหนึ่งสัปดาห์เป็นการทำงานในออฟฟิศ ที่นี่จึงมีการเข้าออฟฟิศแค่ 2 วันต่อสัปดาห์เท่านั้น เพื่อให้ชาวยูนิลีเวอร์ได้ทำมาสานสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นขึ้น ส่วนอีก 3 วันที่เหลือสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ตามอัธยาศัยของทุกคนเลย แถมทุกวันศุกร์ช่วงบ่ายยังมี Focus Friday ที่ลดการประชุมลง เน้นไปที่การสะสางงานที่เหลือและการพัฒนาตัวเองแทน ทำให้การมี Work-life balance ในการทำงานที่ยูนิลีเวอร์จึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนสามารถสร้างได้ไม่เกินความเป็นจริงแน่นอน
4. สิ่งอำนวยความสะดวก ออฟฟิศเป็นสัดส่วนชัดเจน ให้การทำงานลื่นไหลไม่มีสะดุด
ยูนิลีเวอร์เชื่อว่าสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีจะช่วยส่งเสริมศักยภาพด้านการทำงาน เพื่อยกระดับประสบการณ์ทำงานให้ดียิ่งกว่าที่เคยได้ ออฟฟิศของยูนิลีเวอร์จึงประกอบขึ้นจาก 3 เหตุผลหลัก คือ Workplace Reimagine การออกแบบพื้นที่ทำงานเพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ Digital Workplace การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้การทำงานทันสมัย และ Experience Enhancement การปรับปรุงประสบการณ์ทำงานให้ราบรื่นพร้อมความเป็นอยู่ที่ดี
ด้วยเหตุนี้ พื้นที่การทำงานของออฟฟิศยูนิลีเวอร์จึงมีการแบ่งสัดส่วนการทำงานตามจุดประสงค์อย่างชัดเจน โดยมีพื้นที่ทำงาน 50% ห้องประชุม 40% และพื้นที่พักผ่อน 10% ดังนี้
1. Focus Zone: พื้นที่สำหรับรองรับการทำงานและการประชุมที่ต้องใช้ความเป็นส่วนตัวและสมาธิ
2. Collaboration Zone: พื้นที่สำหรับการแชร์ไอเดีย ทำงานร่วมกัน มีอุปกรณ์มากมายคอยอำนวยความสะดวก พร้อมการออกแบบที่เน้นไปทางความมีชีวิตชีวา กระตุ้นความรู้สึกอยากมีส่วนร่วมเมื่อทำงานเป็นทีม
3. Connect Zone: โซนห้องประชุมที่รองรับทีมได้ทุกขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่ระดับ Town Hall พร้อมระบบดูดซับเสียง ระบบไฟส่องสว่าง และเทคโนโลยีคอยสนับสนุนทุกการประชุมให้ราบรื่น
4. Vitality Zone: อยากแวะเติมพลังต้องมาที่โซนนี้ มีทั้ง U Rest ห้องพักผ่อนที่มีมินิเธียเตอร์ เกมส์ และบอร์ดเกมให้ได้เล่น U Café ที่มีบรรยากาศสบาย ๆ มีเครื่องดื่มและของว่างคอยบริการ นอกจากนี้ยังมีโซน Wellness เพื่อดูแลสุขภาพของพนักงานในองค์รวม ทั้งพื้นที่และตู้เย็นสำหรับคุณแม่ จุดงีบหลับ และพื้นที่สำหรับนักบำบัด
5. Specialist Zone: พื้นที่สำหรับให้คำปรึกษาโดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านการทำงานที่มี Business Support Centre อยู่ รวมถึงด้านสุขภาพที่มีพยาบาลดูแลอยู่ทุกวัน และแพทย์ประจำอยู่แบบวันเว้นวัน ใครรู้สึกป่วยไข้ก็สามารถแวะเข้ามาเช็กอาการและรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้เลย
ออฟฟิศที่สนับสนุนการทำงานของทุกคนอย่างเต็มที่พร้อมสร้างการเติบโตไปด้วยกันแบบนี้ ต้องยกให้ยูนิลีเวอร์เขาเลยล่ะ
5. สวัสดิการและอื่น ๆ ยืนหนึ่งเรื่องความยืดหยุ่น ปรับสวัสดิการได้ตามสะดวก
เรื่องสวัสดิการของพนักงานต้องยกให้ยูนิลีเวอร์เขาเลย โดยเฉพาะด้านสุขภาพกายกับใจและการลางานที่มีให้อย่างยืดหยุ่น ไม่มีรูปแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการใช้ชีวิตของแต่ละคน
ไม่ว่าจะประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาแบบผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ทันตกรรม อุบัติเหตุ ที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับตัวเองได้ เพื่อช่วยเหลือให้การทำงานของพนักงานเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งยังมีแพทย์และพยาบาลประจำบริษัทที่คอยให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพในเบื้องต้น ไปจนถึงการแบ่งปัน ความรู้ทางด้านสุขภาพในทุก ๆ เช้าวันศุกร์ให้กับพนักงาน
เช่นเดียวกับเรื่องของสุขภาพใจที่ยูนิลีเวอร์ให้ความสำคัญและเข้มงวดมาก ๆ โดยเฉพาะกับ Psychological safety เพื่อให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยในการสื่อสารถึงความกังวล ปัญหา และความเครียดกับหัวหน้างาน เพื่อหาทางออกไปด้วยกัน ในส่วนของการลางานก็เปิดกว้างยิ่งกว่าใคร สำหรับพนักงานหญิงสามารถลาคลอดได้สูงสุดถึง 16 สัปดาห์ พนักงานชายมีวันลา 15 วัน เพื่อสานความสัมพันธ์กับลูกน้อยเพิ่งคลอด ในกรณีนี้สิทธิ์ยังครอบคลุมไปถึงคู่สมรสเพศเดียวกันและคู่สมรสที่กฎหมายไม่รองรับ เมื่อมีการรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงด้วย
6. โอกาสเติบโต ผลักดันการย้ายถิ่นฐานเพื่อทำงาน ขยายโอกาสเติบโตไร้ขีดจำกัด
ความยั่งยืนคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ ยูนิลีเวอร์จึงผลักดันให้พนักงานได้ขัดเกลาความสามารถ เพิ่มขีดจำกัดทางศักยภาพของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ซึ่งที่นี่เขาก็มีหลายโปรแกรมให้พนักงานได้เลือกลงเรียนกันตามความสนใจ และเรียนได้ทุกเวลา ผ่านระบบของบริษัท ทั้งการฝึกภาษาที่สองและสามอย่าง ภาษาอังกฤษ เยอรมัน เกาหลี จีน ฝรั่งเศส การฝึกทักษะด้านการทำงาน เช่น Marketing Foundation, Proactive Problem Solving, Design Thinking, และ Business Partnering เป็นต้น
แต่จะให้เรียนอย่างเดียวนั้นคงไม่พอ ยูนิลีเวอร์จึงจัด On-the-job training ควบคู่ไปกับโปรแกรมการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถนำสกิลที่ได้เรียนมาปรับใช้กับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด กลายเป็นคนที่เก่งขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด พร้อมรับโอกาสการย้ายถิ่นฐานในการทำงานไปทั่วโลกที่ยูนิลีเวอร์เขาพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว ใครมีความฝันอยากเติบโตด้านการงานในต่างแดนต้องห้ามพลาดเลยล่ะ!
7. วิสัยทัศน์และค่านิยมองค์กร A Better Business. A Better World. A Better You. เติบโตตามสไตล์ยูนิลีเวอร์
เพราะองค์กรถูกขับเคลื่อนด้วยพนักงาน ยูนิลีเวอร์จึงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เรื่อง “คน” เป็นอันดับต้น ๆ และเชื่อว่าเมื่อให้การสนับสนุนบุคลากรเบื้องหลังอย่างเต็มที่ ธุรกิจก็จะเติบโตอย่างดีได้ ตามแนวคิด “A Better Business. A Better World. A Better You” ที่ยูนิลีเวอร์ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง สร้างคุณค่าและความดีต่อโลกใบนี้ พร้อมให้พนักงานได้พัฒนาตัวเอง และร่วมสร้างสังคมที่ยั่งยืนไปด้วยกัน อันเป็นหัวใจสำคัญของยูนิลีเวอร์
“People with Purpose” หรือ การทำงานอย่างมีเป้าหมาย จึงเป็นแนวคิดหลักที่ยูนิลีเวอร์ใช้ผลักดันพนักงานทุกคนให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยน 3 มิติของการทำงานให้สอดคล้องกัน คือ มิติด้าน “งาน” ที่ทุกคนสามารถกำหนดเส้นทางในอนาคตของตัวเองได้ พร้อมแผนการพัฒนาตัวเองที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเฉพาะตัวบุคคล มิติด้าน “แรงงาน” โดยจะมอบหมายงานตามหน้าที่มากกว่าตามตำแหน่ง พนักงานของยูนิลีเวอร์จึงมีอิสระในการทำงานสูง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามช่วงเวลาที่แตกต่างกัน และสุดท้าย มิติด้าน “สถานที่ทำงาน” ที่ยูนิลีเวอร์ได้มีการปรับออฟฟิศให้เป็น U-House 2.0 เพื่อยกระดับการทำงานแบบ Hybrid ให้มีประสิทธิภาพขึ้น
ใครที่กำลังกังวลว่าถ้าเข้ามาแล้วจะได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมหรือเปล่า? ขอบอกเลยว่าไม่มีแน่นอน เพราะเรื่องความเท่าเทียมก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ยูนิลีเวอร์ก็ใส่ใจไม่แพ้กัน ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีทั้งความเสมอภาค หลากหลาย และไม่แบ่งแยก (E-equity, D-diversity and I-inclusion) ไร้ข้อจำกัดเรื่องเพศในการเติบโตทางสายอาชีพ ทำให้มีพนักงานระดับกลางและระดับผู้บริหารชั้นอาวุโสขึ้นไปเป็นผู้หญิงกว่าร้อยละ 66 และ 75 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ระดับโลกที่ยูนิลีเวอร์กำหนดว่าต้องมีบุคลากรเพศหญิงร้อยละ 50 เลยทีเดียว
8. สินค้าและธุรกิจ 400 กว่าแบรนด์ทั่วโลก บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคอันดับหนึ่งในประเทศไทย
ยูนิลีเวอร์ถือเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกและเป็นผู้นำด้านการผลิตและดูแลผลิตภัณฑ์ด้านความงาม และการดูแลส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน ไปจนถึงอาหารและเครื่องดื่ม เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกแง่มุมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคกว่า 190 ประเทศทั่วโลก จนมีแบรนด์ในเครือมากกว่า 400 แบรนด์เลยทีเดียว เช่นเดียวกับในประเทศไทย โดยพบว่า 99% ของ 25 ล้านครัวเรือนไทยใช้ผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ถึง 3 ครั้งต่อวัน จนกลายเป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคไปเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงในใจของพนักงานด้วย เพราะชาวยูนิลีเวอร์จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการซื้อสินค้าในเครือจากร้านค้าขององค์กรได้ในราคาพิเศษนั่นเอง
ความยั่งยืนเป็นเป้าหมายหลักที่ยูนิลีเวอร์ยึดมั่นมาตลอดเพื่อส่งต่อสิ่งดี ๆ คืนสู่สังคม การทำงานที่ยูนิลีเวอร์จึงเต็มไปด้วยพลังบวกและการสนับสนุนอย่างรอบด้านเพื่อกระตุ้นการพัฒนาตัวเองจากข้างในของชาวยูนิลีเวอร์ เกิดเป็นการทำงานอย่างยั่งยืนที่พนักงานทุกคนต่างก็เต็มที่ในทุก ๆ วันและผูกพันกับองค์กรจนไม่อยากไปไหน หากคุณสนใจที่อยากจะเข้ามาเป้นส่วนหนึ่งของการสร้างความยั่งยืนให้กับชีวิตและสังคมของเรา ที่ยูนิลีเวอร์ก็เปิดโอกาสนี้ให้คุณเสมอ เช็กตำแหน่งว่างเลย ที่นี่