คำแนะนำด้านอาชีพ | 23 May 2023

เครียดเกินไป ระวังกลายเป็น Burnout Syndrome ! หรือภาวะหมดไฟในวัยทำงาน

การทำงานหนักวนลูปอยู่กับสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ มากจนเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงานได้ แต่หลายๆ คนอาจสับสนระหว่างความเครียดและความรู้สึกหมดไฟอยู่ คนที่เครียด กดดันและอ่อนล้าจากการทำงานนั้นเป็นคนที่มีพลังและแรงบันดาลใจใหม่ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ ในขณะที่คนที่ไม่ได้รู้สึกกดดัน ตระหนักหรือเครียดใดๆ อาจเป็นคนที่หมดไฟซึ่งไม่ต้องการจะคิดหรือทำอะไรใหม่ๆ แล้ว

ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) คือ ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจที่เป็นผลมาจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานและไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน ทำให้ผู้ที่มีภาวะหมดไฟมีความรู้สึกว่างานนั้นเกินกำลังที่จะทำได้ มีอารมณ์ร่วมกับงานลดลงมาก และไม่สามารถตอบสนองกับความต้องการ ในการทำงานหรือทำงานได้ไม่ดี โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโรคใหม่จากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2022

ใครบ้างที่เสี่ยงภาวะ Burnout Syndrome

อาจมองว่าเป็นกลุ่มอาการที่เกิดวัยทำงานที่แบกรับหน้าที่หนักจนเกินไปเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วนั้นสามารถเกิดได้ทุกเพศ ทุกวัย ที่ใช้ชีวิตอยู่ในรูปแบบเดิมๆ รวมไปถึงเป็นคนที่จริงจังเกินไป ขาดความยืดหยุ่น งานทุกชิ้นต้องดี ยึดติดในความสมบูรณ์แบบ ความคาดหวังสูง และพยายามควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามต้องการ ก็สามารถเกิดอาการเหล่านี้ได้เช่นกัน

 


 

สาเหตุของการเกิดภาวะ Burnout Syndrome มักเกิดจาก

  • ภาระงานหนัก และปริมาณงานมาก รวมถึงงานมีความซับซ้อน ต้องทำในเวลาเร่งรีบ
  • ขาดอำนาจในการตัดสินใจ และมีปัญหาการเรียงลำดับความสำคัญของงาน

  • ไม่ได้รับการตอบแทน หรือรางวัลที่เพียงพอต่อสิ่งที่ได้ทุ่มเทไป

  • รู้สึกไร้ตัวตนในที่ทำงาน หรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของทีม

  • ไม่ได้รับความยุติธรรม ขาดความเชื่อใจ และการเปิดใจยอมรับกัน

  • ระบบบริหารในที่ทำงานที่ขัดต่อคุณค่า และจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเอง

 

อาการของภาวะ Burnout Syndrome

  • ด้านอารมณ์ : หดหู่ ซึมเศร้า หงุดหงิดหรือโมโหง่าย อารมแปรป่วน ไม่พอใจในงานที่ทำ
  • ด้านความคิด : มองคนอื่นในแง่ลบ มักโทษคนอื่นเสมอ หนีปัญหา สงสัยและไม่เชื่อในศักยภาพของตัวเอง

  • ด้านพฤติกรรม : ผัดวันประกันพรุ่ง ขาดความกระตือรือร้น หุนหันพลันแล่น บริหารจัดการเวลาไม่ได้ ไม่อยากตื่นไปทำงาน มาสายจนผิดสังเกตติดต่อกัน ไม่มีสมาธิและไม่มีความสุขในการทำงาน

 


 

ผลกระทบของภาวะ Burnout Syndrome

  • ผลด้านร่างกาย : อาจพบอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ

  • ผลด้านจิตใจ : บางรายอาจสูญเสียแรงจูงใจ หมดหวัง รู้สึกหมดหนทางที่จะช่วยให้ดีขึ้น ส่งผลให้มีอาการของภาวะซึมเศร้าและอาการนอนไม่หลับได้ หากอาการรุนแรงจะนำไปสู่โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง/ฝันร้าย อาจพบมีการใช้สารเสพติดเพื่อจัดการกับอารมณ์

  • ผลต่อการทำงาน : อาจขาดงานบ่อย ประสิทธิภาพการทำงานลดลง อาจคิดเรื่องลาออกในที่สุด

 


 

วิธีรับมือและป้องกันภาวะ Burnout Syndrome

  1. นอนหลับพักผ่อนให้เป็นเวลา อย่าเสียเวลาไปกับความกังวลในเรื่องงานของคุณ และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินอาหารที่มีประโยชน์

  2. ลดความเครียดลง โดยการพบปะสังสรรค์ มีกิจกรรมนอกงานกับเพื่อนร่วมงานบ้าง ทั้งช่วงพัก พักทานอาหารกลางวันและช่วงนอกเวลางาน ในขณะเดียวกันให้ลดการพบปะสังสรรค์พูดคุย กับคนที่ทำให้รู้สึกแย่หรือเป็นลบรรมทำนอกเวลา ฟังเพลง ดูหนัง ออกกำลังกาย เป็นไปได้ลาพักร้อนเป็นระยะเวลาสั่นๆ 

  3. การปรับเปลี่ยนมุมมองต่องานที่ทำ มองหาคุณค่าในงานที่ทำ พยายามทำให้งานและชีวิตอื่น ๆ มีความสมดุล 

  4. เปิดใจให้กับคนรอบข้าง อย่าลังเลที่จะปรึกษาเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน พยามหลีกเลี่ยงกับคนที่มีความคิดในแง่ลบ ยอมรับความแตกต่างของคน และเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่อาจไม่ตรงกัน

  5. หยุดพักบ้าง พักร้อนบ้าง พาตัวออกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้น

 




คุณอาจรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ดูเป็นความสามารถที่คุณต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติหลายๆ อย่าง การปรับทีละนิด ทีละหน่อย อาจช่วยทำให้ภาวะหมดไฟของคุณหายไป กลายเป็นแรงบันดาลใจต่างๆ แต่สำหรับคนที่ไม่ว่าจะทำมากี่วิธีแล้วยังไงคนก็ยัง ท้อแท้ เหนื่อยล้า บางทีการหางานใหม่ อาจจะเป็นคำตอบที่ใช่ของคุณมากกว่า


 

ที่มาของบทความบางส่วน : Harvard Business Review