คำแนะนำด้านอาชีพ | 1 February 2023

ถึงจะไม่อยากออก แต่ถ้าเจอแบบนี้ก็คิดใหม่เถอะ


ไม่มีใครอยากจะเปลี่ยนงานบ่อย ๆ หรอก นอกจากจะเสียประวัติการทำงานแล้ว ยังต้องมาทำความรู้จักกับคนใหม่ ๆ ที่ทำงานใหม่ ๆ อยู่บ่อย ๆ แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แถมยังเสียสุขภาพกายและสุขภาพใจด้วย แต่เอาเป็นว่าในความเป็นจริงทุกคนก็มีเหตุผลที่ทำให้ต้องเปลี่ยนงานแหล่ะ อยู่ที่ว่าของใครจะฟังดูแล้วจะเป็นหรือไม่จำเป็นเท่านั้น และ WorkVenture ได้รวบรวมเหตุผลที่แบบว่า ถ้าเจอแบบนี้ในที่ทำงานก็เปลี่ยนงานเถอะ ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป

 

5 สัญญาณที่บอกเราว่าควรลาออกเถอะ

  • ทำได้แต่ไม่ก้าวหน้า
  • ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
  • ทำงานไปแล้วป่วยทั้งกายและใจ
  • รับมือกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน
  • ทำงานแล้วไม่อยากแนะนำคนมาร่วมงานด้วย

1. ทำได้แต่ไม่ก้าวหน้า

ลองคิดว่าถ้าต้องทำงานเดิมทุกวันไม่มีเปลี่ยนเลยจนวันเกษียณ เราจะรู้สึกอย่างไร แค่คิดก็คงเบื่อแย่แล้ว เหมือนทำงานให้จบไปวัน ๆ แล้วก็กลับบ้าน ไม่มีพัฒนาศักยภาพอะไรให้ก้าวทันโลกปัจจุบันได้เลย ดังนั้นงานที่ทำอยู่ต้องมีความก้าวหน้าที่ชัดเจน แบบว่ามาทำงานแล้วรู้เลย ถ้าทำตามเงื่อนไขนี้ ภายในระยะเวลาเท่านี้ จะได้เลื่อนขั้นเป็นตำแหน่งอะไร แต่ถ้าทำไปแล้วมองไม่ออกเลยว่าอีก 3 ปีหน้าจะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นหรือเปล่า หรือจะเป็นตำแหน่งงานเดิมต่อไป ซ้ำร้ายคือเงินเดือนไม่เพิ่ม โบนัสไม่มี อันนี้ต้องคิดหนัก ๆ แล้วล่ะว่าเราจะไหวหรือเปล่า อาจจะลองปรึกษากับทางหัวหน้าก่อนว่าจะมีจุดไหนที่จะท้าทายเรา เพื่อเป็นการให้เราได้เติบโตได้บ้างไหม หากไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด ก็ลองมาเทียบกันดูว่าจะอยู่หรือจะออกไปหาความท้าทายใหม่ดีกว่า 

2. ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง

ข้อจำกัดหนึ่งที่มนุษย์เงินเดือนต้องรับให้ได้คือ “บริษัทซื้อเวลาของคุณมาทำงาน” ดังนั้นเราต้องใช้เวลาวันละ 8 - 9 ชั่วโมงไปกับการทำงาน บางที่ดีหน่อยให้เราจัดสรรเวลาเข้าทำงานได้เองเพราะมีการทำงาน Flexible Hour แต่ก็ต้องเข้าทำงานให้ครบชั่วโมงที่ตกลงกันไว้อยู่ดี ซึ่งคนพวกนี้นับว่าโชคดี แต่ถ้าเกิดเราดันได้ไปทำงานในองค์กรที่มีแนวคิดว่ากลับช้าเป็นคนขยันนี่ เหนื่อยเลยนะ แบบว่างานเสร็จแล้วก็ยังต้องอยู่ที่ทำงาน รอจนคนอื่นกลับถึงจะได้กลับพร้อมกัน แล้วถ้ารวมเวลาเดินทางอีกวันละ 2 - 3 ชั่วโมงกับการจราจรอีก แทบไม่ได้นอน แล้วก็ยังไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ไม่มีเวลาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมหรือพัฒนาตัวเอง หรือทำอะไรเลย ถ้าเป็นแบบนี้ลองชั่งน้ำหนักดูว่าสุขภาพและเวลาที่เสียไปนั้นยังคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ได้รับอยู่หรือเปล่า เพราะอย่าลืมว่าบริษัทขาดเรา เขาก็หาคนมาทำงานแทนได้ แต่ถ้าครอบครัวขาดเรา เขาหาใครมาทำงานแทนไม่ได้แล้วนะ

3. ทำงานไปแล้วป่วยทั้งกายและใจ

การทำงานไม่ว่าจะงานใดก็แลกกับสุขภาพทั้งนั้น เพราะเราต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้บริษัท แต่ถ้าทำงานหนักจนป่วยบ่อย ๆ ทั้ง  ไมเกรน โรคนอนไม่หลับ อ่อนเพลียง่าย ออฟฟิศซินโดรม หรือเลวร้ายที่สุดคือโรคซึมเศร้า อันนี้ไม่ไหวแล้วแหล่ะ แสดงว่างานมันเครียดและทำร้ายคุณจนเกินไป ขั้นต้นลองหาเวลาออกกำลัง เพราะการออกกำลังจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วย ทำให้สมองใสและมีแรงกายพร้อมต่อการทำงาน แต่ถ้าออกกำลังกายแล้วยังไม่หาย อาจจะเป็นได้ว่าสาเหตุมาจากตัวงานเองนั่นแหล่ะ ที่ทำงานอาจจะกระจายไม่ดี ทำให้ภาระหลายอย่างตกมาที่คุณ ไม่มีทางออก แล้วไหนจะเจอคำวิจารณ์ที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ แถมเจ้านายก็ไม่ได้เห็นคุณค่าเราอีก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปนาน ๆ เจ็บป่วยจากงานบ่อย ๆ ก็บอกลาเถอะ

4. รับมือกับสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน

สังคมในที่ทำงานก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยากให้เราเข้าทำงาน การที่เราเข้าทำงาน นั่นหมายความว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับทางองค์กร ทั้งภายในและภายนอกเป็นสิ่งที่เราควรเรียนรู้ทั้งหมด แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะดีไปหมดหรอกนะ คุณอาจเคยวาดฝันว่าจะได้เข้ามาทำงานที่ท้าทาย มีเจ้านายที่ดีและน่าเคารพ มีเพื่อนร่วมงานมากมายที่พร้อมจะช่วยเหลือกันและกัน แต่ในความเป็นจริง อาไม่ได้เป็นแบบที่วาดฝัน คุณอาจจะได้เรียนรู้งาน แต่กลับเจอเจ้านายที่บ้าอำนาจ หรืออาจจะเจอเพื่อนร่วมงานที่ Toxic มากๆ ทำให้คุณเริ่มไม่อยากที่จะมาทำงานแล้ว เพราะคุณไม่ได้มุ่งสมาธิไปที่งานที่คุณต้องทำ แต่กลับต้องมาเครียดกับอารมณ์ของสังคมรอบข้างของคุณแทน ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่างานที่คุณทำนั้นไม่ได้มีความรู้สึกที่จะทำให้คุณเติบโตได้ แถมยังเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ ลองปรึกษากับบุคคลภายนอกดู ยิ่งถ้าเป็นคนที่ทำงานในธุรกิจเดียวกันยิ่งดี  เพราะจะทำให้แลกเปลี่ยนมุมมองกันได้ง่ายขึ้น แล้วมาเทียบเคียงกับตัวเองดูว่าเป็นปัญหาในองค์กรจริง หรือเป็นความตื่นตระหนกของเรากันแน่


 

5. ทำงานแล้วไม่อยากแนะนำให้คนมาร่วมงานด้วย

ถ้าสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้มาจากปัจจัยภายนอก แต่มาจากปัจจัยภายในอันนี้คงถึงคราวต้องเปลี่ยนงานจริง ๆ แล้วแหล่ะ เพราะถ้ามาทำงานแล้วเจอปัญหาการเมืองในที่ทำงาน  ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือสังคมในที่ทำงานไม่ส่งเสริมให้เรามีความรู้สึกอยากไปทำงาน จ้องแต่จะจับผิดกัน จากงานที่ก็หนักอยู่แล้ว ยังต้องมาเครียดเรื่องคนเพิ่มไปอีก แล้วยิ่งมีคนบอกที่ทำงานที่เดียวกับเรา แล้วเราอยากบอกเขาว่า "หนีไป" อันนี้ก็เริ่มต้นมองหางานใหม่เถอะ ไม่คุ้มกับค่ายารักษาสุขภาพจิตหรอก แถมยังช่วยให้คนรู้จักไม่ต้องมาทนเจอกับสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษแบบนี้ด้วย 

นี่ไม่ได้จากบอกเจอแบบนี้แล้วให้ไปยื่นใบลาออกทันทีเลยนะ ใจเย็น ๆ คิดถึงเหตุผลให้รอบด้านก่อน ไหนจะความจำเป็นทางด้านการเงิน และผลที่เกิดจากการลาออกอีก อีกอย่างการหางานใหม่ที่ต้องใช้เวลานะ เอาไว้หางานใหม่ได้ แล้วค่อยออกแบบนี้น่าจะดีกว่า อย่าลืมเตรียมเหตุผลดี ๆ ด้วยว่าทำไมถึงออกจากงานเก่า WorkVenture เตือนแล้วนะ